พระเยซูคริสตเจ้าทรงประดิษฐาน พิธีศีลอภัยบาป เพื่อช่วยให้มนุษย์สามารถล้างมลทินบาปและความผิดทั้งปวง นำพาชีวิตกลับคืนสู่พระหรรษทานและความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอีกครั้ง ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นได้ว่าความรักที่พระเป็นเจ้ามีต่อเรามนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เพียงไหน เราสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าความรักที่พระเยซูเจ้ามีต่อมนุษย์นั้นไม่มีสิ่งใดเทียบได้จริงๆ
พิธีศีลอภัยบาป

ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้ทรงตั้งศีลมหาสนิทไว้ และเมื่อทรงทราบว่ามนุษย์จะกระทำบาปหรือทำผิด พระองค์ก็ได้ตั้งศีลอภัยบาปไว้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นการหาวิธีช่วยเหลือมนุษย์ในทุกวิถีทาง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงสถาปนาศีลอภัยบาป พระองค์ได้ประทานสิทธิ์ในการอภัยบาปนี้แก่บรรดาสาวก เช่นเดียวกับบรรดาพระสังฆราชและพระสงฆ์ เพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่อภัยบาปในนามของพระองค์บนโลกนี้ พระองค์ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้า บาปใดที่พวกท่านจะอภัย บาปนั้นจะได้รับการอภัย และบาปใดที่พวกท่านจะถือไว้ บาปนั้นจะถูกถือไว้เช่นกัน”
ดังนั้น ผู้ที่ได้รับหน้าที่โปรดศีลอภัยบาปคือบรรดาพระสงฆ์ ซึ่งใช้อำนาจที่ได้รับจากพระเยซูเจ้า โดยกล่าวในขณะที่มีผู้มารับศีลอภัยบาปว่า “… ข้าพเจ้าอภัยบาปทั้งสิ้นของท่าน เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน” พร้อมกับยกมืออวยพรให้ผู้มาขอการอภัยบาป
วิธีการรับศีลอภัยบาปอย่างดี
ตามหลักเหตุผลที่สำคัญ เพื่อให้ศีลอภัยบาปส่งผลอย่างสมบูรณ์ต่อผู้รับศีล จำเป็นต้องมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้

ความสำนึกผิด
คือ การเตรียมใจรับศีลอภัยบาปที่มีคุณค่า ต้องเริ่มจากการยอมรับว่าตนได้กระทำผิด และมีความตั้งใจจริงในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า “สำนึกผิด” และเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพราะหากขาดการสำนึกผิด การแก้ไขจะไม่เกิดผลใดๆ เปรียบเสมือนผู้ป่วยที่ต้องยอมรับว่าตนเองมีอาการเจ็บป่วย และต้องการการรักษา โดยต้องร่วมมือกับแพทย์อย่างเต็มที่ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
ความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขและไม่ทำผิดทำบาปอีก
คือการแสดงเจตนา หรือมีใจที่มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับความอ่อนแอหรือการล่อลวงที่นำไปสู่บาปนั้น ๆ ด้วยการวิงวอนขอความเมตตาและความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้า แม้จะรู้ว่าอาจผิดพลาดและทำบาปอีกก็ตาม เหมือนกับการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ที่บางครั้งอาจรู้สึกเหนื่อยล้าและล้มลง แต่จำเป็นต้อง “ลุกขึ้น” และเดินหน้าต่อไปเสมอ

การสารภาพบาป (บอกบาป)
เป็นการเข้าไปยังที่สารภาพบาปและบอกบาปที่ตนได้ทำทั้งหมด หลังจากพิจารณาแล้วแก่พระสงฆ์ที่รับฟังสารภาพ ข้อปฏิบัติที่ต้องทำคือ
- สารภาพบาปทุกข้อที่ได้กระทำด้วยเสียงที่ชัดเจนพอประมาณ ไม่ดังหรือเบาเกินไป โปรดจำไว้ว่าหากจงใจปกปิดและไม่บอกบาปทั้งหมด บาปเหล่านั้นจะไม่ได้รับการอภัย
- ไม่จำเป็นต้องบรรยายมากเกินไป หลายคนมักจะอธิบายจนดูเหมือนเป็นข้อแก้ตัว ในกรณีนี้ หากพระสงฆ์มีข้อสงสัย ท่านจะสอบถามเราเอง แต่ไม่ควรตอบสั้นเกินไปจนไม่สื่อความหมาย เช่น การบอกว่า “ลักขโมย” เพียงเท่านั้น จะไม่รู้ว่าเป็นการขโมยอะไร หรือมากน้อยเพียงใด เพราะความผิดมีความแตกต่างกัน เช่น คนหนึ่งลักขโมยเงินพ่อแม่ 20 บาท กับอีกคนที่ขโมยเงินจากตู้บริจาคในวัด ความผิดย่อมแตกต่างกันอย่างมาก
- ควรระบุจำนวนครั้งเท่าที่จำได้ หรือหากจำไม่ได้ก็สามารถประมาณเอาได้ เพื่อให้พระสงฆ์ที่ฟังคำสารภาพสามารถให้คำแนะนำและตักเตือนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
- ภาษาที่ใช้ในการสารภาพบาปควรเป็นภาษาที่บาทหลวงสามารถเข้าใจได้ ยกเว้นในกรณีที่ไม่สามารถพูดได้จริงๆ เช่น ในขณะที่สารภาพบาปต่างๆ ส่วนคำอธิษฐานหรือบทสดก็สามารถใช้ภาษาที่ตนเองถนัดได้ ปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยได้ ทำไมจึงไม่สามารถสารภาพบาปเป็นภาษาไทย?
- ควรตระหนักว่าการสารภาพบาปอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากพระสงฆ์สามารถสนทนาให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำที่ตรงจุดเพื่อการแก้ไขความผิดต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

การใช้โทษบาป
ตามปกติ เมื่อพระสงฆ์ให้คำแนะนำและตักเตือนเสร็จแล้ว ก็จะมีการกำหนดกิจกรรมเพื่อใช้โทษบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติอย่างครบถ้วน และควรระลึกเสมอว่าการกำหนดกิจกรรมนี้เป็นไปตามระเบียบเท่านั้น สิ่งที่เราต้องกระทำในชีวิตประจำวันควรมีมากกว่านั้น คือ ต้องมีความตั้งใจจริงในการแก้ไข ไม่ทำผิดซ้ำและต้องพยายามอย่างจริงจังตามความตั้งใจนั้น ทำให้เป็นนิสัย โดยปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน
มีความผิดหรือบาปบางประเภทที่ต้องได้รับการชดเชย โดยเฉพาะบาปที่เกี่ยวข้องกับความไม่ยุติธรรม หากเป็นเรื่องชื่อเสียงก็รวมถึงการใส่ร้ายและนินทา ส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินคือการขโมยและฉ้อโกง ซึ่งทั้งสองกรณีจำเป็นต้องชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น การสารภาพบาปเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
ศีลอภัยบาปเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้แค่ให้พรในการยกโทษบาปเหมือนยารักษาโรคเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนยาบำรุงที่เสริมสร้างชีวิตในด้านวิญญาณและจิตใจของเราให้แข็งแกร่ง เพื่อเผชิญหน้ากับการล่อลวงต่างๆ ได้อีกด้วย
ดังนั้น เราควรเข้ารับศีลอภัยบาปเป็นประจำ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาจจะเป็นทุก 2 สัปดาห์ หรือทุกเดือน อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น มีบาปหนัก ก็สามารถเข้ารับได้ทันที
ความลับของศีลอภัยบาป
พระสงฆ์จำเป็นต้องรักษาความลับสูงสุดเกี่ยวกับการสารภาพบาปของผู้ศรัทธา หากพระสงฆ์ใดเปิดเผยความลับจากการสารภาพบาป จะถูกลงโทษโดยพระศาสนจักรทันทีและถูกปลดจากหน้าที่พระสงฆ์ ในขณะที่ผู้สารภาพบาปไปแก้บาป อาจรู้สึก “อาย” ต่อพระสงฆ์ ซึ่งบางครั้งทำให้ไม่กล้าสารภาพบาปบางอย่าง
ความอายนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ได้รับการอภัยบาป ความรู้สึกอายถือเป็นบทลงโทษชนิดหนึ่ง ดังนั้น เมื่อจะไปแก้บาปต้องมีความตั้งใจจริง และหากรู้สึกอายก็ต้องยอมรับ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการชดเชยความผิดของเราเอง

นอกเหนือจากศีลอภัยบาป ยังมีสิ่งหนึ่งที่สามารถยกโทษบาปได้ชั่วคราว คือ “พระคุณการุญ” ซึ่งหมายถึง พระคุณหรือพระพรที่พระศาสนจักรอาศัยอำนาจที่ได้รับจากพระเยซูคริสตเจ้ามายกโทษให้ชั่วคราว บางครั้งอาจยกโทษชั่วคราวได้ทั้งหมด ซึ่งเราเรียกว่า “พระคุณการุญบริบูรณ์” ในบางกรณี การยกโทษชั่วคราวอาจเป็นเพียงบางส่วน เราเรียกว่า “พระการุญไม่บริบูรณ์”
ตัวอย่างของการได้รับพระคุณการุญสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เมื่อเราไปแสวงบุญยังสถานที่หรือวัดที่กำหนดให้รับพระคุณ เช่น “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” หากเรามีความตั้งใจจริงในการรับพระคุณและสวดภาวนาตามกฎระเบียบที่พระศาสนจักรกำหนดไว้ เราก็จะได้รับการยกโทษในระยะเวลาหนึ่ง ถึงแม้ในขณะนั้นเราอาจไม่สามารถรับศีลอภัยบาปได้ เราก็ยังสามารถเข้ารับศีลมหาสนิทได้ และควรรีบไปแก้บาปทันทีเมื่อมีโอกาสในภายหลังครับ
ซึ่งเราเราสามารถรับพิธีศีลอภัยบาปได้บ่อยครั้ง (อย่างน้อยปีละครั้งในช่วงเทศกาลปัสกา) หรือทุกครั้งที่คริสตชนทำบาปหนักที่ละเมิดต่อบัญญัติของพระเจ้าและพระศาสนจักร ศีลอภัยบาปมีไว้เพื่อให้มนุษย์ที่อ่อนแอหรือหลงผิดได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ พร้อมรับพระหรรษทานเพื่อมีกำลังเอาชนะการประจญทั้งทางกายและจิตใจ สำหรับวันนี้ เว็บหวยสด คงต้องขอตัวลากันไปก่อน พบกันได้ใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ